บทที่ 4 พ่อเฮงซวย
บรรดาบอดี้การ์ดและกอล์ฟที่อยู่รอบๆ มองดูภาพตรงหน้า ในทั่วทั้งกรุงเทพนี้ คนที่กล้าใช้โทนเสียงแบบนี้พูดกับภวัตก็คงมีเพียงคุณชายของพวกเขาคนเดียวเท่านั้น
ทุกคนต่างพากันกลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
ภวัตยืนอยู่ตรงหน้าเด็กน้อยทั้งสองคน เขามองลงมาด้วยแววตาที่กดดัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธที่พยายามข่มไว้: “มาร์ค แกเก่งนี่ เก่งขึ้นเยอะเลยนะ กล้าพาน้องสาวของแกหนีออกจากโรงพยาบาล แล้วยังตามฉันมาถึงสนามบินอีก ถ้าเกิดน้องสาวเป็นอะไรขึ้นมา แกคิดจะทำยังไง?”
นิคเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
มาร์ค? คือเด็กผู้ชายคนที่เขาเพิ่งเจอเมื่อกี้ ซึ่งหน้าตาเหมือนกับเขาราวกับแกะคนนั้นน่ะเหรอ?
ที่แท้เขาก็คือลูกชายของภวัต คุณชายแห่งตระกูลวิศวะนี่เอง
ดูท่าแล้วตาพ่อเฮงซวยคนนี้จะดีกับลูกสาวอยู่ไม่น้อย แต่กับลูกชายกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มิน่าล่ะเจ้าหมอนั่นถึงได้หนีออกจากบ้าน
“ทำไมไม่พูดล่ะ?”
นานๆ ทีภวัตจะเห็นลูกชายเงียบแบบนี้ เขาจึงคิดว่าลูกชายคงรู้ตัวว่าผิดแล้ว น้ำเสียงจึงอ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังต้องสั่งสอนให้รู้: "จะเอาแต่ใจก็ต้องมีขอบเขตบ้าง น้องสาวร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะทำยังไง? อย่าคิดว่าอยู่ที่เมืองเอแล้วจะทำอะไรตามใจชอบได้โดยไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกแก รู้ตัวหรือยังว่าผิด?"
นิคยังคงไม่พูดอะไร
แอนน์ไม่เคยเห็นพี่ชายของตัวเองถูกใครดุเหมือนเป็นลูกหลานแบบนี้มาก่อน เธอจึงอยากจะพูดขึ้นมา แต่นิคก็แอบโบกมือห้าม เป็นสัญญาณบอกให้เธอเงียบไว้
แอนน์จึงต้องจำใจเงียบปากลง
กอล์ฟที่ยืนอยู่ข้างๆ มองคุณชายน้อยที่ไม่ยอมพูดจา แถมยังทำหน้าเย็นชาไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
เขาต้องหาทางช่วยเจ้านายของตนเองให้ลงจากหลังเสือ จึงรีบเข้าไปพูดเกลี้ยกล่อมว่า: “คุณชายน้อยครับ ท่านประธานหาคุณสองคนไม่เจอ เป็นห่วงแทบแย่แล้วนะครับ คุณชายน้อยก็จริงๆ เลย ถ้ามีอะไรสงสัยก็น่าจะมาถามท่านประธานให้แน่ใจสิครับ วันนี้ที่ท่านประธานมาสนามบิน ก็เพื่อมาตามหาคุณหมอเฮเลนให้มารักษาคุณหนูน้อย ไม่ใช่ว่าจะไปต่างประเทศกับคุณแพรวา พวกคุณเข้าใจท่านประธานผิดไปจริงๆ นะครับ”
นิคกับน้องสาวสบตากัน ที่แท้เหตุผลที่มาร์คกับมินนี่หนีออกจากบ้าน ก็เพราะคิดว่าเขาไปพัวพันกับผู้หญิงเลวคนนั้นนี่เอง
เขารู้จักผู้หญิงที่ชื่อแพรวาคนนั้นดี เดิมทีก็เป็นแค่คุณหนูตัวปลอม แต่กลับวางตัวเป็นเจ้าของที่แท้จริง แย่งพ่อแม่ของมามี้เขา แย่งบ้านของมามี้เขา แถมยังแย่งสามีของมามี้เขาไปอีก จนทำให้มามี้ของเขาต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว และให้กำเนิดเขากับน้องสาว
ตอนนี้ดีเลย ทำร้ายมามี้ของเขายังไม่พอ ยังจะมาทำร้ายน้องชายกับน้องสาวของเขาอีกงั้นเหรอ?
นิคมองไปยังภวัตอย่างเย็นชา: “ท่านประธานนี่ช่างใจบุญสุนทานเสียจริงนะครับ กับผู้หญิงที่ทำร้ายมามี้ของผมก็ยังใจกว้างได้ขนาดนี้ ในเมื่อรักกันมากขนาดนั้น ทำไมไม่แต่งเข้าบ้านไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะครับ?”
“แกพูดว่าอะไรนะ?” สีหน้าของภวัตเย็นชาลงทันที
บรรยากาศโดยรอบกดดันลดต่ำลงเรื่อยๆ
กอล์ฟกำลังจะเอ่ยปากเพื่อคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก แอนน์ก็พึมพำด่าออกมาเสียงเบาว่า: “ตาพ่อเฮงซวย”
ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึง
โดยเฉพาะภวัต เขามองไปยังแอนน์ นี่คือลูกสาวของเขาจริงๆ น่ะหรือ?
แม้ว่าลูกสาวของเขาจะไม่ปฏิเสธเวลาที่เขาเข้าใกล้ แต่เธอก็ไม่เคยเข้าหาเขาหรือชวนเขาคุยก่อนเลย เธอทำได้เพียงใช้ภาษากายง่ายๆ ในการตอบสนอง สายตาของเธอมักจะเหม่อลอย ดูซื่อๆ น่ารักอยู่เสมอ
แต่ตอนนี้ เธอกลับพูดได้แล้วเหรอ?
เขาไม่สนใจแล้วว่าเธอกำลังด่าเขาอยู่หรือเปล่า เขารีบเดินเข้าไปย่อตัวลงตรงหน้าเธอ เอามือทั้งสองข้างจับไหล่เล็กๆ ของเธอไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “มินนี่ มองหน้าพ่อสิ พูดกับพ่ออีกสักคำได้ไหม”
ในใจของแอนน์เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม มินนี่ของพวกเขาป่วยเป็นอะไรกันแน่นะ?
นิคส่งสายตาให้เธอ เป็นเชิงบอกให้เธอแสดงละครต่อไป เขาอยากจะรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพวกเขาพี่น้องทั้งสี่คนถึงต้องพลัดพรากจากกันนานหลายปี
แอนน์เข้าใจความหมายของพี่ชายในทันที เธอก้มหน้าลงและแกล้งทำเป็นใบ้ ไม่ยอมพูดอะไรอีก
ภวัตเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นคนกดดันจนทำให้เธอกลับเข้าไปอยู่ในเปลือกของตัวเองอีกครั้ง เขาจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบ: “โอเคๆ พ่อไม่บังคับหนูแล้วนะ พ่อจะพาไปกินของอร่อยๆ ดีไหม มินนี่อยากกินอะไร?”
แอนน์คิดอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนว่าแม่ทูนหัวจะบอกว่าจะเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นที่โรงแรมไวท์ลอตัส
ดังนั้น เธอจึงเอ่ยปากพูดว่า: “อาหารญี่ปุ่นที่ไวท์ลอตัส”
เมื่อภวัตได้ยินว่าเธอสามารถบอกความต้องการของตัวเองได้อย่างชัดเจน เขาก็ตื่นเต้นมากแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธคำขอของเธอ
เขาอุ้มลูกสาวไว้ในอ้อมแขน พลางเหลือบมองไปทางนิค: “มาร์ค ตามมา”
นิคถึงกับพูดไม่ออก
ตั้งแต่เล็กจนโตมามี้สอนพวกเขาเสมอว่าชายหญิงเท่าเทียมกัน แต่ไม่เคยบอกเลยว่าในสายตาของตาพ่อเฮงซวยคนนี้จะมีความแตกต่างระหว่างชายหญิงมากขนาดนี้ มิน่าล่ะมาร์คถึงได้หนีออกจากบ้าน
...
โรงแรมไวท์ลอตัส
อัญชนีและยูริพาเด็กแฝดที่น่ารักอีกคู่หนึ่งมาถึงก่อนแล้ว
พวกเขานั่งลงในที่ที่จองไว้
หลังจากที่ยูริสั่งอาหารไปสองสามอย่าง เธอก็ยื่นไอแพดให้กับเด็กน้อยทั้งสองคน “เด็กดี ดูสิว่ามีอะไรอยากกินอีกไหม สั่งได้เต็มที่เลยนะ วันนี้แม่ทูนหัวเลี้ยงเอง”
มินนี่ไม่ได้พูดอะไร ร่างเล็กๆ ของเธอขยับเข้าไปซบพี่ชาย
ส่วนมาร์คกลับไม่เกรงใจ เขารับไอแพดมา โรงแรมแห่งนี้เดิมทีก็เป็นหนึ่งในเครือของบริษัทยังไลฟ์อยู่แล้ว เมื่อก่อนเขาก็มาบ่อยๆ ดังนั้น เขาจึงใช้นิ้วเล็กๆ ปัดหน้าจอ สั่งเมนูแนะนำของร้านทั้งหมด
เมื่อสั่งเสร็จ เขาก็คืนไอแพดให้ยูริพร้อมกับยิ้มหวาน: “ขอบคุณครับแม่ทูนหัว”
ไหนๆ ก็เรียกมามี้ไปแล้ว เรียกแม่ทูนหัวเพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไร
แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้ยูริตกใจ กว่าจะตั้งสติได้ก็ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงหันไปถามอัญชนี: “ปกติเขาไม่เคยยิ้มไม่ใช่เหรอ? วันนี้เป็นอะไรไป?”
“สงสัยตอนอยู่ที่สนามบินคงจะตกใจมากน่ะ”
อัญชนีเดินไปนั่งอีกข้างของมินนี่ แล้วอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตักพลางถามว่า: “แอนน์ ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่าลูก?”
เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหน้าอย่างว่าง่าย ซบใบหน้าลงในอ้อมอกของเธอ ถูไถไปมากับอกที่นุ่มนิ่มของเธอเบาๆ พลางคิดในใจว่า นี่คือความรู้สึกของการมีมามี้สินะ?
มาร์คมองดูด้วยความอิจฉา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมน้องสาวถึงได้ติดคุณป้าคนนี้นัก อ้อมกอดของเธออบอุ่นขนาดนั้นเลยเหรอ?
ดังนั้น เขาจึงกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินไปอยู่ข้างๆ อัญชนี แล้วเอาใบหน้าเล็กๆ ของเขาซบลงบนแขนของเธอและถูไถเบาๆ
อัญชนีไม่ได้เห็นลูกชายอ้อนแบบนี้มานานมากแล้ว เธอจึงดึงเขาเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนเช่นกัน พร้อมกับพูดปลอบโยนว่า: “วันนี้นิคคงตกใจมากใช่ไหมลูก? ไม่เป็นไรนะ ที่น้องสาวเป็นแบบนั้นเพราะเจอเหตุการณ์กะทันหัน ไม่ใช่ความผิดของนิคเลย มามี้ไม่ได้โทษลูกนะ”
เพราะแอนน์เป็นเด็กที่แข็งแรงมาตลอด ไม่เคยเจ็บป่วยเลย ทำให้สองพี่น้องไม่เคยเจอสถานการณ์แบบในวันนี้มาก่อน เธอจึงคิดว่าพฤติกรรมที่ผิดปกติของพวกเขาเป็นเพราะความตกใจกลัว ถึงแม้พวกเขาจะดูโตเกินวัย แต่ก็ยังเป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบเท่านั้น
แต่เธอไม่รู้เลยว่า เมื่อมาร์คได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนของเธอ เขาก็รู้สึกตื้นตันจนแสบจมูกขึ้นมา
เพราะน้องสาวของเขาเป็นออทิสติก ไม่เหมือนเด็กปกติคนอื่น พ่อจึงบอกเขตั้งแต่เด็กว่าต้องดูแลน้องสาว ต้องยอมน้องสาว แต่กลับไม่เคยบอกเขาเลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา
ถ้าคุณป้าคนนี้เป็นมามี้ของเขาก็คงจะดี
เขาคิดในใจพลางซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเธออีกครั้ง
อัญชนีกอดพวกเขาไว้ ภาพที่เห็นช่างดูอบอุ่นเหลือเกิน
ส่วนทางด้านของสามพ่อลูกอีกฝั่งหนึ่ง บรรยากาศกลับไม่ราบรื่นเช่นนี้
พวกเขาเดินเข้าห้องส่วนตัวโดยตรงจากอีกทางเดินหนึ่ง
ภวัตนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ด้านซ้ายของเขาคือแอนน์ และถัดจากแอนน์ไปก็คือนิค
แอนน์มองคนทางซ้ายทีขวาที ทั้งท่าทาง บรรยากาศ และความเย็นชานั้นเหมือนกันเป๊ะ ต่างกันแค่คนหนึ่งเป็นไซส์ใหญ่ ส่วนอีกคนเป็นไซส์เล็ก
ปกติแล้วเธอเป็นคนช่างพูด แต่ตอนนี้ต้องแกล้งทำเป็นใบ้ เลยได้แต่เงียบปากไว้
บรรยากาศจึงดูแปลกประหลาดอย่างน่าพิศวง ความกดดันภายในห้องก็ยิ่งลดต่ำลงเรื่อยๆ
พนักงานที่มาเสิร์ฟอาหารไม่กล้าแม้แต่จะสบตาพวกเขาสักนิด มือก็สั่นไม่หยุด
กอล์ฟเดินไปข้างๆ นิค ตักอาหารให้เขาเล็กน้อย แล้วพูดเกลี้ยกล่อมว่า: “คุณชายน้อยครับ ทานก่อนนะครับ เดี๋ยวผมแกะเปลือกปูให้ ท่านประธานรู้ว่าคุณชายชอบทานอาหารทะเล เลยสั่งให้คนเตรียมปูอลาสก้ากับกุ้งมังกรฟ้าออสเตรเลียไว้เป็นพิเศษ ทำตัวดีๆ หน่อยนะครับ อย่าทำให้ท่านประธานโกรธอีกเลย”
พูดจบ เขาก็เริ่มลงมือแกะเปลือกปู
นิคมองเขาอย่างแปลกใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า: “ขอบคุณครับ ผมกินเองเป็น”
ไม่ได้พิการเสียหน่อย เขาชินกับการทำทุกอย่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว
กอล์ฟตกตะลึง นี่คือคุณชายน้อยของเขาจริงๆ เหรอ?
ปกติเวลามาร์คอยู่ที่บ้าน จะต้องมีคนคอยแกะปูแกะกุ้งให้ คนรับใช้ทั้งตระกูลวิศวะมารุมล้อมรับใช้เขาก็ยังไม่เคยว่าเยอะเกินไปเลย แต่วันนี้เป็นอะไรไป?
เมื่อหันไปมองทางแอนน์ เดิมทีภวัตกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แต่พอเห็นว่าอาหารมาเสิร์ฟครบแล้ว เขาก็รีบวางสาย เนื่องจากอาการป่วยของลูกสาว ทำให้เธอไม่เคยกินข้าวเอง แต่ต้องมีคนคอยป้อนทีละคำ
แต่ทว่า เธอกลับไม่ชอบให้คนอื่นเข้าใกล้ ยอมให้แค่พี่ชายกับพ่อของเธอป้อนข้าวให้เท่านั้น
ภวัตหยิบถ้วยและตะเกียบขึ้นมาตามความเคยชิน ตักอาหารที่ลูกสาวชอบใส่ถ้วย แต่ใครจะไปคาดคิดว่า เมื่อเขาจะป้อนเธอ กลับพบว่าลูกสาวของเขาเริ่มกินไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังกินอย่างเอร็ดอร่อยอีกด้วย
ภวัตตกใจจนนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงนึกขึ้นได้แล้วถามว่า “มินนี่ อร่อยไหมลูก?”
ก็โอเคนะ
แอนน์อ้าปากทำท่าจะพูดตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังแกล้งเป็นใบ้อยู่ ช่างมันเถอะ ว่าแล้วเธอก็หุบปากลง
ภวัตกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
แอนน์มองตามไป บนหน้าจอปรากฏชื่อที่กะพริบอยู่: แพรวา
